605833841733882389
605833841733882389
605833841733882389
659669411731806102
659669411731806102
659669411731806102
659669411731806102
แร่ธาตุที่สำคัญในน้ำแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จะมีหลักๆ อยู่ดังนี้
เหตุผลดีๆ ที่จะทำให้คุณรู้ว่า การดื่มน้ำนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
นี่เป็นเพียงบางส่วนของประโยชน์ที่ได้จากการดื่มน้ำเท่านั้น ในเมื่อทราบกันอย่างนี้แล้ว คนที่อยากจะเริ่มดูแลสุขภาพให้ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และผิวพรรณ การดื่มน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทั้งง่าย สะดวก ราคาไม่แพง เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แค่นี้ก็ถือเป็นการบำรุงร่างกายและดูแลสุขภาพไปในตัว
การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี
ตารางการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ
ข้อห้ามสำหรับการดื่มน้ำ
ไฮโดรเจนช่วยกระบวนการเมทาบอลิซึมของเราอย่างไร
เวลาที่คนส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า “เมทาบอลิซึม” ตอนแรกเลยมักจะคิดถึงความสามารถของร่างกายในการเผาผลาญพลังงานในแง่ของการควบคุมน้ำหนักและการควบคุมการกินอาหาร แต่เรากำลังพูดถึงอะไรที่มันลงลึกในระดับจุลภาคมากกว่านั้น เพราะเซลล์แต่ละตัวต้องทำกระบวนการเมทาบอลิซึมของมันเอง เพื่อเปลี่ยนแหล่งพลังงานให้อยู่ในรูปที่สามารถใช้ประโยชน์ได้และเป็นการกำจัดของเสียด้วย
ถ้ากระบวนการเมทาบอลิซึมของเซลล์ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ร่างกายจะประสบกับอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย เช่น การอักเสบและกรดแลกติกสูงขึ้น แต่ถ้ากระบวนการเมทาบอลิซึมทำหน้าที่ได้ดี เราก็จะรู้สึกเปี่ยมพลังพร้อมที่จะพิชิตโลกใบนี้เลยทีเดียว
ก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งถูกสร้างขึ้นภายในเซลล์ดังกล่าว คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพของการแปลงพลังงาน และประสิทธิภาพของการกำจัดของเสีย การศึกษาเมื่อปี 2005 ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อ Nature พบว่าไฮโดรเจนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อการบำบัดที่ดี เพราะมันสามารถเลือกลดสารอนุมูลอิสระบางตัวซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมากที่สุด เมื่อร่างกายของคุณสร้างก๊าซไฮโดรเจนอย่างเพียงพอแล้ว (หรือว่าคุณบริโภคน้ำเสริมไฮโดรเจนเพื่อกระตุ้นเซลล์ของคุณ) กระบวนการเมทาบอลิซึมของเซลล์ของคุณจะสามารถทำหน้าที่ปกป้องซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของมันได้ทั้งหมด
ทำไมไฮโดรเจนจึงช่วยในการออกกำลังกายให้ดีขึ้น
การศึกษาชิ้นหนึ่งซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อปี 2012 และได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Medical Gas Research ก็พบว่าการได้รับก๊าซไฮโดรเจน (จากการดื่มน้ำเสริมไฮโดรเจน) ก่อนการออกกำลังกาย ช่วยให้นักกรีฑาเพศชายระดับแนวหน้ากำจัดความเหนื่อยล้า ของกล้ามเนื้อในระหว่างการฝึกซ้อมอย่างหนักได้
ประโยชน์ของน้ำไฮโดรเจนที่ดีต่อสุขภาพ
LiCC H+ RO (Hydrogen-rich Reverse Osmosis Water purifying and drinking machine)
= ไส้กรอง RO+ UVC +เติมแร่ธาตุ + เติมฟองไฮโดรเจน (SPE) +ไส้กรองคาร์บอน (PAC+CF) ทำงานรวมกันสิ่งที่ได้รับคือ ได้น้ำดื่มที่สะอาดบริสุทธิ์ มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ในค่า pH ที่เหมาะสม (7.0-8.5) พร้อมมีฟองไฮโดรเจนซึ่งทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย อีกทั้ง ฆ่าเชื้อโรค ยับยั้งแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“น้ำ” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต
โดยเฉพาะในด้านของสุขภาพนั้น น้ำ จะมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการย่อยและละลายสารอาหารรวมทั้งออกซิเจนเพื่อส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติ และระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งมีส่วนช่วยทำให้ข้อกระดูกต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ น้ำยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการละลายสารพิษแล้วขับออกจากร่างกาย จึงมีส่วนช่วยทำให้มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งสดใส ไม่แห้งกร้าน ใบหน้าชุ่มชื้นดูมีเลือดฝาด และดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย
ร่างกายของคนเราจะประกอบไปด้วยน้ำมากถึงร้อยละ 70 โดยในจำนวนนี้ จะเป็นน้ำที่ประกอบอยู่ภายในเซลล์ถึงร้อยละ 60 อยู่ภายนอกเซลล์อีกร้อยละ 30 นอกนั้นจะเป็นน้ำที่อยู่ในเนื้อเยื่อและเลือด
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงมีความต้องการน้ำสูงถึงวันละ 2-3 ลิตร เพื่อกระบวนการต่าง ๆ และเพื่อทดแทนในส่วนที่สูญเสียไปกับการขับถ่าย เหงื่อ และลมหายใจ
ดังนั้น หากในแต่ละวันร่างกายของเราไม่ได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ร่างกายก็จะดึงเอาน้ำจากส่วนต่าง ๆ มาใช้ จึงส่งผลให้เลือดมีความเข้มข้นสูง ระบบไหลเวียนของเหลวผิดปกติ ทำให้ผิวหยาบกร้าน ปวดศีรษะ เป็นตะคริว และเกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้
สำหรับคนปกติ การดื่มน้ำให้พอดีกับความต้องการในแต่ละวัน อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการส่งเสริมสุขภาพเท่าใดนัก เพราะการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด ควรคำนึงถึงหลักต่อไปนี้ด้วย คือ
นอกจากนี้ ภายหลังจากการออกกำลังกาย หรืออยู่ในระหว่างมีไข้ ท้องเสีย หรืออาเจียน ก็ควรดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปด้วย โดยดื่มทีละนิดแต่จิบบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อไม่ให้เป็นการไปเพิ่มภาระให้กับอวัยวะในระบบขับถ่าย ได้แก่ ไต ปอด ม้าม และระบบย่อยอาหารอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังจะต้องหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีรสจัดจนเกินไปด้วย เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ แต่การดื่มน้ำที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย จะเป็นสาเหตุทำให้ไตต้องทำงานหนัก จึงส่งผลต่อการมีร่างกายที่ทรุดโทรมก่อนวัยอันควรได้
ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่ดื่มน้ำให้เพียงพอและถูกหลัก ก็พอเพียงแล้วสำหรับการมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับการมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง งดงาม
น้ำดื่มไฮโดรเจน คืออะไร ?
น้ำไฮโดรเจนเป็นน้ำที่มีก๊าซไฮโดรเจนเล็กน้อยพร้อมกับแมกนีเซียมเล็กน้อย ส่วนประกอบเหล่านี้ทำให้น้ำไฮโดรเจนมีประโยชน์มากกว่าน้ำดื่มปกติ สาเหตุของการมีแมกนีเซียมในน้ำไฮโดรเจน คือ แมกนีเซียมสามารถทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของน้ำเพื่อสร้างก๊าซไฮโดรเจน ที่อุณหภูมิสูงขึ้นไฮโดรเจนจะถูกปลดปล่อยในรูปของก๊าซไฮโดรเจน นอกเหนือจากการดื่มแล้วยังสามารถใช้งานในการทำความสะอาดผิวช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
น้ำดื่มโดยประมาณมีไฮโดรเจนประมาณ 0.0017 กรัมต่อน้ำ 1 กิโลกรัม ( ที่อุณหภูมิห้อง ) ดังนั้น เพื่อให้ได้ไฮโดรเจน 1 กรัม จากน้ำดื่มปกติควรบริโภคน้ำประมาณ 588 กิโลกรัม แต่น้ำไฮโดรเจนมีปริมาณไฮโดรเจนสูงสุดที่สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิที่กำหนด ดังนั้น การบริโภคน้ำไฮโดรเจนจึงมีประโยชน์มากกว่า น้ำไฮโดรเจนมีโมเลกุลเล็ก ดูดซึมง่ายและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าน้ำดื่มทั่วไป และยังเป็นตัวละลายช่วยให้วิตามินต่าง ๆ ที่เราทานเข้าไปนั้นมีขนาดโมเลกุลที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิจัยบ่งชี้ –
น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี 176 เท่า –
น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่ากลูตาไธโอน 309 เท่า –
น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินอี 431 เท่า –
น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่า Q10 863 เท่า
น้ำไฮโดรเจนมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น
ควรดื่มน้ำไฮโดรเจนวันละเท่าไร
แนะนำให้ดื่ม 2-3 ลิตรต่อวัน
การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC)
รังสียูวีซีเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่น 100-280 นาโนเมตร รังสียูวีซีมีความสามารถในการทำลายเชื้อโรคหรือเรียกว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation ซึ่งทำลายเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย ไวรัส ราเส้นใย ยีสต์ เป็นต้น โดยจะทำลายโครงสร้างกรดนิวคลีอิกซึ่งเป็นองค์ประกอบของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอของเชื้อโรคที่ความยาวคลื่น 260-265 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความยาวคลื่นที่ดีเอ็นเอของดูดซับได้ดีที่สุด
ในธรรมชาติจะไม่พบรังสียูวีซีเนื่องจากรังสีชนิดนี้ไม่สามารถผ่านชั้นโอโซนมายังผิวโลกได้ การใช้รังสีชนิดนี้เพื่อทำลายเชื้อจึงต้องใช้แหล่งกำเนิดรังสี ได้แก่ UVC-LEDs หลอดปรอท เป็นต้น
ประสิทธิภาพการทำลายเชื้อของ UVC
ประสิทธิภาพของรังสียูวีซีในการทำลายเชื้อขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับ ความเข้มและความยาวคลื่นของรังสี สำหรับการฆ่าเชื้อในอากาศหรือพื้นผิวสามารถประเมินประสิทธิภาพจากปริมาณรังสีหรือ UV dose ซึ่งเป็นปริมาณรังสีที่เชื้อสัมผัส ถ้าเชื้อจุลินทรีย์ล่องลอยอยู่ในอากาศผลของรังสีจะเทียบเท่าค่า UV dose แต่ถ้ามีฝุ่นละอองล่องลอยในอากาศร่วมด้วย ปริมาณรังสีที่สัมผัสกับเชื้อจุลินทรีย์อาจลดลง จึงต้องใช้ระยะเวลาในการทำลายเชื้อนานขึ้น
การใช้ยูวีซีในการฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในน้ำ
สามารถใช้ยูวีซีในการฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในน้ำได้โดยอาศัยการหมุนวนของน้ำผ่านหลอดกำเนิดรังสียูวีซีภายในระยะเวลาช่วงหนึ่งเพื่อให้รังสีทำลายเชื้อโรคได้หมด นอกจากนี้รังวียูวีซียังสามารถกำจัดคลอรีนหรือสารกลุ่มคลอรามีนที่ปะปนอยู่ในน้ำได้ด้วย อย่างไรก็ตามยูวีซีไม่สามารถกำจัดสารอินทรีย์ และอนินทรีย์หรืออนุภาคต่างๆ ที่ปะปนในน้ำได้
บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน
การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC) ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(UV sterilization of containers
จาก https://patents.google.com/patent/WO2011153288A1/en (เข้าถึงเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563))
เครื่องกรองน้ำไฮโดรเจน พร้อมระบบ UVC ดีอย่างไร
มีทั้งไฮโดรเจนที่ทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และ UVC ที่มีความสามารถในการทำลายเชื้อโรค
วิธีการเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำดื่มไฮโดรเจน
สิ่งที่พิจารณาประกอบการเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำ
หลอดไฟ UV ฆ่าเชื้อโรค (UV Sterilizing Lamp)
พลังการทำงานผสมผสานกรองคุณภาพที่เหนือชั้นเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดและยับยั้งเชื้อโรค แบคทีเรีย สูงถึง 99.9% UV Light เป็นระบบที่นำรังสีอัลตราไวโอเลตมาใช้ในการกำจัดละฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ อาทิ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือสารอื่น ๆ ในอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
รู้จัก UVC
สำหรับ UVC คือรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 100-280 นาโนเมตร เป็นรังสีที่โดยธรรมชาติจะไม่สามารถเดินทางผ่านชั้นโอโซนลงมายังโลกได้ เนื่องจากมีความยาวคลื่นที่สั้นกว่า UVA และ UVB แต่ในขณะเดียวกัน UVC มีพลังงานมากกว่า และมีความสามารถในการทำลาย DNA และ RNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและเชื้อโรคต่างๆ ทำให้แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคชนิดต่างๆ ไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้
ปัจจุบันมีผลการวิจัยมากมาย ทั้งจากสถาบันการศึกษาและโรงพยาบาลที่พิสูจน์ได้ว่า UVC มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% จึงมีข้อได้เปรียบกว่าการฆ่าเชื้อโรคแบบอื่นๆ เช่น การฉีดพ่นสารเคมี การเช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งในแง่ของความสะดวกในการใช้งาน ใช้เวลาทำความสะอาดเพียงไม่กี่นาที สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่ำ และที่สำคัญคือ ไม่ทิ้งสารเคมีที่เป็นอันตรายไว้หลังการใช้งาน จึงมีความปลอดภัยแก่ผู้ใช้
สำหรับนวัตกรรมการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด C (UVC) นั้น ปัจจุบันมีการนำมาติดตั้งและใช้งานหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่ติดตั้งแบบสแตนด์อโลน เช่น Upper Room UVGI เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C เป็นต้น
“สถานการณ์การระบาดเช่นนี้ทำให้ต้องให้ความสำคัญต่อการฆ่าเชื้อในพื้นที่อื่นด้วยมาตรฐานเดียวกับห้องผ่าตัด และต้องทำให้ได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลหลายแห่งสนใจเทคโนโลยีนี้ และได้ประสานมาทางบริษัท เราเชื่อมั่นทั้งประสิทธิภาพการทำงานและความคุ้มค่าของเครื่อง และเราเชื่อว่า ประเทศไทยจะมีการนำเทคโนโลยีฆ่าเชื้อด้วย UVC มาใช้อย่างเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในอนาคต”
รังสี UVC อันตรายต่อคนไหม?
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า มาตรการในการรักษาความสะอาดและป้องกันการระบาดของเชื้อโรคจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงในโรงพยาบาล และเราอาจจะเห็นการฆ่าเชื้อด้วยการฉายรังสีอัลตราไวโอเลตมากขึ้นในโรงพยาบาล จนกลายเป็น ‘New Normal’ ในอนาคตอย่างแน่นอน
การฆ่าเชื้อโรคด้วย UV-C
หลอดรังสียูวีที่เปล่งรังสีในช่วง 200-313 nm.สามารถทำลายจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ เห็ดและราได้ อีกทั้งยังสามารถทำลายไวรัสทั้งชนิดที่เป็น DNA และ RNA ได้ ซึ่งพลังงานของรังสีนี้จะเข้าไปทำลายถึงระดับ DNA และ RNA ของเชื้อโรค ทำให้เชื้อไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และตายในที่สุด
รังสียูวีทำลายเชื้อโรคได้อย่างไร ทำไม “หลอดไฟ UVC” จึงฆ่าเชื้อโรคได้?
รังสียูวีที่ใช้ในการฉายเพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ เรียกว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation หรือ UVGI มีความยาวคลื่นประมาณ 200 nm ถึง 313 nm (ตามมาตรฐาน CIE, DIN, IESNA) โดยมีประสิทธิภาพการทำลายเชื้อโรคได้ดีที่สุดที่ประมาณ 265 nm (สำหรับจุลินทรีย์ และ DNA VIRUS)
CIE : International Commission on Illumination
DIN : Deutsches Institut for Normung
IESNA : Illuminating Engineering Society of North America
รังสียูวีในช่วง UVGI นี้สามารถทำลาย RNA virus เช่น COVID-19 ได้ โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ความยาวคลื่นประมาณ 260 nm
นอกจากนี้ ยังสามารถทำลาย DNA virus และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ความยาวคลื่นประมาณ 265 nm
*Reference คำแนะนำสำหรับการใช้หลอดยูวีทำลายเชื้อโควิด 19 – สถาบันมาตรวิทยา (UL : Safety Organize)
หลายบ้านมองหาเครื่องฟอกอากาศที่จะทำให้อากาศสะอาดมากที่สุด หนึ่งในวิธีการทำงานของเครื่องฟอกอากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์ค่อนข้างมาก ก็คือ เครื่องฟอกอากาศระบบ Ultraviolet Light เครื่องฟอกอาการะบบนี้จะทำงานด้วยการปล่อยแสงอัลตราไวโอเลต ออกมาเพื่อกำจัดไวรัส แบคทีเรีย สิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้หมดไป ประสิทธิภาพการทำงานด้านการกำจัดสิ่งสกปรกถือว่ายอดเยี่ยมมากทีเดียว
อีกทั้งแสงช่วงยูวีซีได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย โดยไปทำลายพันธะโมเลกุลในดีเอ็นเอ/อาร์เอ็นเอของไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ทำให้ได้อากาศที่บริสุทธิ์ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา และ เชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของโรคมากมายก่อนส่งออกไปยังห้องของคุณ เครื่องฟอกอากาศระบบยูวีซีจึงเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้คุณมั่นใจว่าจะปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา
ฝุ่น pm 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก แต่ส่งผลต่อสุขภาพมหาศาล
ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร?
คือฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดอนุภาคเล็กมากๆ (ขนาดเล็กกว่า2.5ไมครอน หรือไมโครเมตร)
(PM ย่อมาจาก Particulate Matters)
ด้วยขนาดที่เล็กมากๆ เราจึงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าฝุ่นนี้มีปริมาณสูงมากๆ ในอากาศ จะดูคล้ายกับมีหมอกหรือควัน
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้จากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ การเผาขยะ เผาหญ้า เผาเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงงาน เป็นต้น
ฝุ่น PM 2.5นี้ยังสามารถรวมตัวกับสารมลพิษ เช่นสารไฮโดรคาร์บอน และโลหะหนัก
และด้วยขนาดที่เล็กมากจึงสามารถลอดผ่านการกรองของขนจมูก ไปยังหลอดลม และลงลึกจนถึงถุงลมปอดและซึมเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
ฝุ่น PM 2.5 มีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?
ในวันที่อากาศไม่ดี มีค่าฝุ่นมลพิษสูง หลายคนคงรู้สึกแสบตา แสบจมูก เจ็บคอ
PM 2.5 ฝุ่นเล็กจิ๋ว แต่ส่งผลต่อสุขภาพมหาศาล
องค์กรอนามัยโลก (WHO) ตั้งค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศ ว่าหากมีเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะที่ประเทศไทยกำหนดอันตรายของฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
แต่ไม่ว่าจะถือมาตรฐานใด ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติด้วยปริมาณเกือบ 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะบริเวณริมถนนหรือบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นและรอบสถานที่ก่อสร้าง
ภัยร้ายต่อทางเดินหายใจและปอด
แน่นอนว่ามลพิษในอากาศส่งผลโดยตรงกับระบบทางเดินหายใจและปอด ยิ่งเมื่อฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ยิ่งสามารถผ่านเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบ หรือเป็นสาเหตุให้คนปกติเป็นหอบหืดได้เช่นกัน หากไม่รีบแก้ไข หรือไม่รู้ตัวว่าได้สูดเอามลพิษขนาดเล็กเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและปอดจนสะสมเป็นเวลานาน อาจเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งปอดได้ในที่สุด
ภัยร้ายต่อหัวใจ
การสูดหายใจเอาฝุ่นละอองพิษเล็กจิ๋วติดต่อกันระยะหนึ่ง ส่งผลให้เกิดการตะกอนภายในหลอดเลือด จนทำให้เกิดหัวใจวาย หรือหลอดเลือดสมองตีบได้ ทั้งนี้การสัมผัสมลพิษทางอากาศยังมีผลต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เต้นผิดจังหวะ และอาจรุนแรงจนส่งผลให้หัวใจวายเฉียบพลัน
ภัยร้ายต่อสมอง
เมื่อฝุ่นผงขนาดเล็กสามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือดและเกิดการสะสมขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง และเลือดมีความหนืด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดลิ่มเลือดในสมอง รวมถึงหลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ หรือแตก เป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์อัมพาตและเสียชีวิตได้
PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอดได้หรือไม่
จากวิกฤตมลพิษในอากาศที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก ทั้งในเมือง นอกเมือง พื้นที่อุตสาหกรรม และพื้นที่อื่น ๆ WHO ได้แถลงว่าการที่ร่างกายเปิดรับ PM2.5 หรืออนุภาคฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 นอกจากมีโอกาสซึมเข้ากระแสเลือดไปกระทบการทำงานของร่างกายแล้ว หากได้รับ PM2.5 สะสมเป็นเวลานานก็มีส่วนทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ โดยข้อมูลจากวารสารการแพทย์ Oncology Letter – PMC5920433 ได้ระบุว่า PM2.5 มีผลทำให้เซลล์ในร่างกายอาจกลายพันธุ์หรือแบ่งตัวผิดปกติ และสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการเกิดมะเร็ง
PM 2.5 จึงไม่ได้เสี่ยงเพียงมะเร็งปอด แต่ยังอันตรายต่อทุกอวัยวะที่กระแสเลือดเดินทางไปได้ อาจเกิดเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคสมองเสื่อม โรคหลอดเลือดสมองตีบ ในคนที่เป็นไมเกรนทำให้มีอาการปวดหัวรุนแรงขึ้นได้
5 วิธีต่อไปนี้ คือวิธีรับมือฝุ่นพิษที่ควรทำและบอกต่อไปยังคนใกล้ชิด
ไอเท็มกันฝุ่น PM2.5 เมื่ออยู่นอกบ้าน
การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier หรือ Air Cleaner) จึงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นไม่พึงประสงค์ แบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงฝุ่นละออง PM2.5 ได้ และ สำหรับใครที่มีเครื่องฟอกอากาศอยู่แล้วก็ควรหมั่นตรวจสอบการใช้งานและบำรุงดูแลรักษาเครื่องอยู่เสมอ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด
เครื่องผลิตออกซิเจน (Oxygen Concentrator) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อผลิตออกซิเจนในความเข้มข้นสูง สำหรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยทางระบบทางเดินหายใจ ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ หรือผู้ที่ต้องการออกซิเจน เนื่องจากมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ประหยัดกว่า และสะดวกมากขึ้นกว่าการใช้ถังออกซิเจน ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อการแพทย์เป็นอย่างมาก
1. บรรเทาอาการโรคทางเดินหายใจ สำหรับใครที่มักมีปัญหานอนกรน หายใจไม่ออก เป็นหวัดบ่อย และมักจะแพ้อากาศ สามารถใช้เครื่องนี้เพื่อช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้และยังช่วยทำให้คุณนอนหลับสนิทมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
2. ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของร่างกาย รู้หรือไม่ว่าออกซิเจนมีส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเด็กๆที่มีส่วนช่วยการพัฒนาการทั้งร่างกายและพัฒนาสมองได้ ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และไม่ป่วยเป็นโรคง่าย
3. ช่วยลดอาการเหนื่อยล้า หลังจากทำงานมาใครที่รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้า ลองใช้เครื่องผลิตออกซิเจนนี้เพื่อเติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย จะช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดต่างๆดี ลดความอ่อนล้าของร่างกาย ลดความเครียด ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้อีกด้วย
4. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด สำหรับท่านที่สูบบุหรี่เป็นประจำ แน่นอนว่าสุขภาพของปอดและการหายใจของคุณกำลังแย่ เนื่องจากสารนิโคตินและคาร์บอนมอนอกไซด์จากการสูบบุหรี่นั้นจะเข้าสู่ร่างกายเป็นอย่างมาก เครื่องนี้จะช่วยทำให้คุณได้รับออกซิเจนมากยิ่งขึ้น