แร่ธาตุในน้ำดื่ม ที่จำเป็นต่อร่างกาย

แร่ธาตุในน้ำดื่มที่จำเป็นต่อร่างกาย และเทคนิคการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

แร่ธาตุในน้ำดื่ม ที่จำเป็นต่อร่างกาย และเทคนิคการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

แร่ธาตุที่สำคัญในน้ำแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จะมีหลักๆ อยู่ดังนี้

  1. แคลเซียม : แร่ธาตุสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง อาการโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ อาการปวดประจำเดือน
  2. แมกนีเซียม : แร่ธาตุชนิดหนึ่ง อยู่ในกลุ่มของเกลือแร่ ที่มีอยู่มากมายในร่างกาย แมกนีเซียมทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น สร้างระบบภูมิคุ้มกัน รักษาอาการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับสมองอีกด้วย
  3. ฟลูออไรด์ : แร่ธาตุตามธรรมชาติที่ช่วยในการป้องกันฟันผุ โดยจะชะลอการสลายของแร่ธาตุ เป็นองค์ประกอบ 1 ใน 5 ที่ช่วยป้องกัน เสริมกระบวนการคืนกลับมาของแร่ธาตุบนผิวเคลือบฟัน ช่วยให้ฟันแข็งแรง
  4. ไอโอดีน : แร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยควบคุมระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย
  5. โพแทสเซียม : เป็นแร่ธาตุที่ทำงานร่วมกับโซเดียมในการควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย และช่วยทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติ
  6. เหล็กและสังกะสี : ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความสมดุลของความเป็นกรด ด่างในร่างกาย ช่วยในกระบวนการเผาผลาญและดูดซึมวิตามินบางชนิด แต่ควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเท่านั้น

 

เหตุผลดีๆ ที่จะทำให้คุณรู้ว่า การดื่มน้ำนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

  1. ดีต่อสมอง และระบบประสาท เนื่องจากน้ำ คือส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และสมอง การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยให้คลายเครียด ลดอาการปวดศีรษะได้ ถือเป็นการผ่อนคลาย และเพิ่มพลังให้กับสมองอีกทางหนึ่ง
  2. ช่วยให้ผิวพรรณสุขภาพดี ไม่เหี่ยวย่นง่าย เพราะน้ำจะคอยดูแลเซลล์ให้ลอยอยู่บนน้ำ และช่วยให้เกิดการไหลเวียนของเลือดในร่างกายได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ดูเรียบเนียน มีน้ำมีนวล และดูอ่อนเยาว์
  3. ช่วยล้างสารพิษ และช่วยให้ระบบการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำจะนำพาของเสียให้ออกจากร่างกายได้อย่างง่ายดาย ทั้งทางอุจจาระ ปัสสาวะ และรูขุมขน
  4. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงช่วยป้องกันอาการเลือดข้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดได้
  5. ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ เพราะทุกระบบก็ต้องการน้ำไปใช้ทั้งสิ้น เช่น ช่วยเรื่องการหล่อลื่นในระบบ ทางเดินอาหาร เชื่อมเซลล์ และหล่อลื่นข้อต่อต่างๆ ช่วยลำเลียงสารอาหารที่มีประโยชน์ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายตลอดเวลา
  6. ช่วยส่งเสริมการทำงานของไต โดยเจือจางเกลือ และแร่ธาตุที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดนิ่ว จึงลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้
  7. ช่วยย่อยอาหาร และส่งผลดีต่อสุขภาพของลำไส้ การดื่มน้ำที่เพียงพอ จะทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และป้องกันอาการท้องผูก หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ ลำไส้ใหญ่จะดึงน้ำไปจากอุจจาระ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณขับถ่ายได้ยาก
  8. ช่วยเรื่องระบบเผาผลาญ เป็นตัวการสำคัญที่ช่วยให้ปฏิกิริยาเคมีของกระบวนการเผาผลาญอาหาร และไขมันในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ
  9. ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ตลอดเวลา โดยที่น้ำจะระบายความร้อนที่เป็นส่วนเกินออกจากร่างกายในรูปแบบเหงื่อที่ระเหยจากผิวหนัง เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
  10. ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็ง เพราะน้ำมีส่วนช่วยในการลำเลียงสารอาหาร กำจัดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างเป็นปกติ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

นี่เป็นเพียงบางส่วนของประโยชน์ที่ได้จากการดื่มน้ำเท่านั้น ในเมื่อทราบกันอย่างนี้แล้ว คนที่อยากจะเริ่มดูแลสุขภาพให้ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และผิวพรรณ การดื่มน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทั้งง่าย สะดวก ราคาไม่แพง เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แค่นี้ก็ถือเป็นการบำรุงร่างกายและดูแลสุขภาพไปในตัว

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธี

  1. น้ำที่ดื่มถ้าจะให้ดีต้องเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด แต่ก็ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นเพราะจะช่วยในการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น ลำไส้ก็จะสะอาดมากขึ้นตามไปด้วย
  2. การดื่มนั้นที่ถูกต้องนั้น ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือจะให้ดีก็วันละ 14 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัวของคุณ เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 60 ก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วนั่นเอง (กรณีนี้ให้นับรวมปริมาณอื่น ๆด้วย เช่น น้ำจากผักผลไม้ แกง ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ ด้วย)
  3. ในตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือก่อนแปรงฟัน ควรดื่มน้ำ 2-4 แก้ว เป็นน้ำอุ่น ๆ ได้ก็จะดีมาก
  4. ในระหว่างวันควรดื่มน้ำ 1 แก้วทั้งก่อนและหลังมื้ออาหารทุก ๆ มื้อ และในระหว่างช่วงสาย บ่าย เย็น ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้งละ 1 แก้ว
  5. ในช่วงก่อนนอน น้ำอุ่น ๆ สัก 1 แก้วจะดีมาก
  6. การดื่มน้ำควรดื่มครั้งละแก้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มรวดเดียวหลาย ๆ แก้ว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “น้ำเป็นพิษได้”
  7. ประโยชน์ของน้ำอย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือถ้าจะดื่มก็ควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที
  8. ในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดี
  9. ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยควรดื่มหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วครึ่งชั่วโมง
  10. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นและน้ำอัดลม เพราะน้ำเย็นจะไปดึงความร้อนในร่างกายมาทำให้น้ำที่เราดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายจึงจะดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายเสียเวลาในการปรับสมดุลและสูญเสียพลังงาน
  11. สำหรับคุณผู้หญิงบางท่านที่มักมีอาการปวดประจำเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนควรงดดื่มน้ำเย็น เพราะการดื่มน้ำเย็นจะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น

 

ตารางการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

  • ดื่มหลังตื่นนอน 06.00-07.00 น. ปริมาณ 1 แก้ว
  • ตลอดทั้งคืนร่างกายขาดน้ำมายาวนาน ฉะนั้นเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำในตอนเช้า จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี
  • ดื่มน้ำช่วงสาย 08.00-11.00 น. ปริมาณ 2 แก้ว
  • เป็นช่วงเวลาที่ระบบภายในร่างกายเริ่มทำงานเต็มที่ แน่นอนว่าจะต้องมีของเสียเกิดขึ้นในร่างกายเพิ่มขึ้น
  • ดื่มน้ำช่วงบ่ายหลังมื้อเที่ยง 13.00-16.00 น. ปริมาณ 2 แก้ว
  • ใช้วิธีค่อยๆจิบเพื่อดับอาการกระหาย การดื่มน้ำแบบนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี
  • ดื่มน้ำช่วงเย็นก่อนมื้อค่ำ 17.00-18.00 น. ปริมาณ 1 แก้ว
  • ดื่มก่อนกินมื้อเย็น 1 ชั่วโมง จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ทานได้น้อยไม่ทำให้อ้วน
  • ดื่มน้ำหลังมื้อค่ำ 19.00-21.00 น. ปริมาณ 1 แก้ว
  • ค่อยๆ จิบไปเรื่อยๆ จะช่วยทำให้ระบบเลือดและระบบลำไส้ทำงานได้ดี
  • ดื่มน้ำก่อนนอน 1 ชั่วโมง ปริมาณ 1 แก้ว
  • เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างอยู่ในลำไส้

 

ข้อห้ามสำหรับการดื่มน้ำ

  • ไม่ดื่มน้ำครั้งเดียวในปริมาณมากๆ เพราะจะทำให้ไตควบคุมการขับน้ำไม่ได้ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำในหลอดเลือดมากแล้วก็ไปเพิ่มภาระการสูบฉีดของหัวใจ
  • ไม่ควรปล่อยให้กระหายเต็มที่แล้วค่อยดื่ม เพราะร่างกายมีภาวะขาดน้ำ ทำให้มีของเสีย สารพิษตกค้างอยู่มาก ไม่สามารถระบายขับทิ้งได้
  • ไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะร่างกายจะทำงานหนักเนื่องจากต้องปรับสมดุลภายในร่างกาย
  • ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ไม่ควรดื่มน้ำหวาน
  • หลังกินอาหารไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมาก เพราะน้ำจะไปเจือจางความเข้มข้นของน้ำย่อย ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี

ไฮโดรเจนช่วยกระบวนการเมทาบอลิซึมของเราอย่างไร

เวลาที่คนส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า “เมทาบอลิซึม” ตอนแรกเลยมักจะคิดถึงความสามารถของร่างกายในการเผาผลาญพลังงานในแง่ของการควบคุมน้ำหนักและการควบคุมการกินอาหาร แต่เรากำลังพูดถึงอะไรที่มันลงลึกในระดับจุลภาคมากกว่านั้น เพราะเซลล์แต่ละตัวต้องทำกระบวนการเมทาบอลิซึมของมันเอง เพื่อเปลี่ยนแหล่งพลังงานให้อยู่ในรูปที่สามารถใช้ประโยชน์ได้และเป็นการกำจัดของเสียด้วย

ถ้ากระบวนการเมทาบอลิซึมของเซลล์ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ร่างกายจะประสบกับอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย เช่น การอักเสบและกรดแลกติกสูงขึ้น แต่ถ้ากระบวนการเมทาบอลิซึมทำหน้าที่ได้ดี เราก็จะรู้สึกเปี่ยมพลังพร้อมที่จะพิชิตโลกใบนี้เลยทีเดียว

ก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งถูกสร้างขึ้นภายในเซลล์ดังกล่าว คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพของการแปลงพลังงาน และประสิทธิภาพของการกำจัดของเสีย การศึกษาเมื่อปี 2005 ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อ Nature พบว่าไฮโดรเจนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อการบำบัดที่ดี เพราะมันสามารถเลือกลดสารอนุมูลอิสระบางตัวซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมากที่สุด เมื่อร่างกายของคุณสร้างก๊าซไฮโดรเจนอย่างเพียงพอแล้ว (หรือว่าคุณบริโภคน้ำเสริมไฮโดรเจนเพื่อกระตุ้นเซลล์ของคุณ) กระบวนการเมทาบอลิซึมของเซลล์ของคุณจะสามารถทำหน้าที่ปกป้องซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของมันได้ทั้งหมด

ทำไมไฮโดรเจนจึงช่วยในการออกกำลังกายให้ดีขึ้น

การศึกษาชิ้นหนึ่งซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อปี 2012 และได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Medical Gas Research ก็พบว่าการได้รับก๊าซไฮโดรเจน (จากการดื่มน้ำเสริมไฮโดรเจน) ก่อนการออกกำลังกาย ช่วยให้นักกรีฑาเพศชายระดับแนวหน้ากำจัดความเหนื่อยล้า ของกล้ามเนื้อในระหว่างการฝึกซ้อมอย่างหนักได้

ประโยชน์ของน้ำไฮโดรเจนที่ดีต่อสุขภาพ

  • ช่วยให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลง
  • การไหลเวียนโลหิตราบรื่น
  • ช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น
  • รักษาอาการแพ้
  • ยับยั้งการอักเสบ
  • ช่วยให้เหงื่อออกง่ายโดยการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย
  • ต่อต้านริ้วรอย ผิวพรรณสดชื่น
  • ช่วยให้แผลหายดีขึ้น
  • ช่วยในการถ่ายปัสสาวะ
  • ช่วยลดภาวะซึมเศร้า

 

LiCC H+ RO (Hydrogen-rich Reverse Osmosis Water purifying and drinking machine)

= ไส้กรอง RO+ UVC +เติมแร่ธาตุ + เติมฟองไฮโดรเจน (SPE) +ไส้กรองคาร์บอน (PAC+CF) ทำงานรวมกันสิ่งที่ได้รับคือ ได้น้ำดื่มที่สะอาดบริสุทธิ์ มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ในค่า pH ที่เหมาะสม (7.0-8.5) พร้อมมีฟองไฮโดรเจนซึ่งทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย อีกทั้ง ฆ่าเชื้อโรค ยับยั้งแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

แนะนำ เครื่องกรองน้ำไฮโดรเจน

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

บทความ สาระประโยชน์อื่นๆ

น้ำดื่มไฮโดรเจน เครื่องกรองน้ำไฮโดรเจน

น้ำดื่มไฮโดรเจน ดีต่อร่างกายอย่างไร?

น้ำดื่มไฮโดรเจน ดีต่อร่างกายอย่างไร?

“น้ำ” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต

โดยเฉพาะในด้านของสุขภาพนั้น น้ำ จะมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการย่อยและละลายสารอาหารรวมทั้งออกซิเจนเพื่อส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติ และระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมทั้งมีส่วนช่วยทำให้ข้อกระดูกต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ น้ำยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการละลายสารพิษแล้วขับออกจากร่างกาย จึงมีส่วนช่วยทำให้มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งสดใส ไม่แห้งกร้าน ใบหน้าชุ่มชื้นดูมีเลือดฝาด และดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย

ร่างกายของคนเราจะประกอบไปด้วยน้ำมากถึงร้อยละ 70 โดยในจำนวนนี้ จะเป็นน้ำที่ประกอบอยู่ภายในเซลล์ถึงร้อยละ 60 อยู่ภายนอกเซลล์อีกร้อยละ 30 นอกนั้นจะเป็นน้ำที่อยู่ในเนื้อเยื่อและเลือด

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงมีความต้องการน้ำสูงถึงวันละ 2-3 ลิตร เพื่อกระบวนการต่าง ๆ และเพื่อทดแทนในส่วนที่สูญเสียไปกับการขับถ่าย เหงื่อ และลมหายใจ

ดังนั้น หากในแต่ละวันร่างกายของเราไม่ได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ร่างกายก็จะดึงเอาน้ำจากส่วนต่าง ๆ มาใช้ จึงส่งผลให้เลือดมีความเข้มข้นสูง ระบบไหลเวียนของเหลวผิดปกติ ทำให้ผิวหยาบกร้าน ปวดศีรษะ เป็นตะคริว และเกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้

สำหรับคนปกติ การดื่มน้ำให้พอดีกับความต้องการในแต่ละวัน อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการส่งเสริมสุขภาพเท่าใดนัก เพราะการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด ควรคำนึงถึงหลักต่อไปนี้ด้วย คือ

  1. น้ำที่จะนำมาดื่มจะต้องเป็นน้ำที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรคต่าง ๆ รวมทั้งสารเคมีเจือปน โดยจะต้องดื่มให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว หรือราว 2–3 ลิตร จึงจะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
  2. ควรดื่มน้ำทันทีภายหลังจากตื่นนอนในตอนเช้าอย่างน้อย 2 แก้ว เพื่อช่วยในการขับถ่ายของเสีย แต่ไม่ควรดื่มเกินครึ่งแก้วก่อนรับประทานอาหาร 15 นาที และภายใน 40 นาทีหลังมื้ออาหาร เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจางจนส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารได้
  3. ควรดื่มน้ำทุกครั้งที่รู้สึกกระหาย โดยในวันที่อากาศร้อนและแห้ง หรืออยู่ภายในห้องที่มีการปรับอากาศ ก็จำเป็นจะต้องได้รับน้ำในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพราะร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำไปทางผิวหนังและลมหายใจมากกว่าปกติ

นอกจากนี้ ภายหลังจากการออกกำลังกาย หรืออยู่ในระหว่างมีไข้ ท้องเสีย หรืออาเจียน ก็ควรดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปด้วย โดยดื่มทีละนิดแต่จิบบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อไม่ให้เป็นการไปเพิ่มภาระให้กับอวัยวะในระบบขับถ่าย ได้แก่ ไต ปอด ม้าม และระบบย่อยอาหารอื่น ๆ

  1. จำไว้ว่า การดื่มน้ำที่เย็นจัดจนเกินไป แม้จะทำให้รู้สึกสดชื่นแต่ก็จะไปเพิ่มภาระให้กับอวัยวะภายในมากขึ้น เพราะร่างกายจะต้องปรับอุณหภูมิของน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิภายในร่างกายเสียก่อน จึงส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมทั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้

นอกจากนี้ ยังจะต้องหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีรสจัดจนเกินไปด้วย เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ แต่การดื่มน้ำที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย จะเป็นสาเหตุทำให้ไตต้องทำงานหนัก จึงส่งผลต่อการมีร่างกายที่ทรุดโทรมก่อนวัยอันควรได้

ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่ดื่มน้ำให้เพียงพอและถูกหลัก ก็พอเพียงแล้วสำหรับการมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับการมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง งดงาม

น้ำดื่มไฮโดรเจน คืออะไร ?

น้ำไฮโดรเจนเป็นน้ำที่มีก๊าซไฮโดรเจนเล็กน้อยพร้อมกับแมกนีเซียมเล็กน้อย ส่วนประกอบเหล่านี้ทำให้น้ำไฮโดรเจนมีประโยชน์มากกว่าน้ำดื่มปกติ สาเหตุของการมีแมกนีเซียมในน้ำไฮโดรเจน คือ แมกนีเซียมสามารถทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของน้ำเพื่อสร้างก๊าซไฮโดรเจน ที่อุณหภูมิสูงขึ้นไฮโดรเจนจะถูกปลดปล่อยในรูปของก๊าซไฮโดรเจน นอกเหนือจากการดื่มแล้วยังสามารถใช้งานในการทำความสะอาดผิวช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ

น้ำดื่มโดยประมาณมีไฮโดรเจนประมาณ 0.0017 กรัมต่อน้ำ 1 กิโลกรัม ( ที่อุณหภูมิห้อง ) ดังนั้น เพื่อให้ได้ไฮโดรเจน 1 กรัม จากน้ำดื่มปกติควรบริโภคน้ำประมาณ 588 กิโลกรัม แต่น้ำไฮโดรเจนมีปริมาณไฮโดรเจนสูงสุดที่สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิที่กำหนด ดังนั้น การบริโภคน้ำไฮโดรเจนจึงมีประโยชน์มากกว่า น้ำไฮโดรเจนมีโมเลกุลเล็ก ดูดซึมง่ายและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าน้ำดื่มทั่วไป และยังเป็นตัวละลายช่วยให้วิตามินต่าง ๆ ที่เราทานเข้าไปนั้นมีขนาดโมเลกุลที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวิจัยบ่งชี้

น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี 176 เท่า –

น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่ากลูตาไธโอน 309 เท่า –

น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินอี 431 เท่า –

น้ำไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพมากกว่า Q10 863 เท่า

 

น้ำไฮโดรเจนมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น

  • ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และหลีกเลี่ยงความเสียหายของสมอง
  • ปรับปรุงความผิดปกติของอารมณ์
  • ระงับการอักเสบ
  • ลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ
  • ป้องกันโรคเมตาบอลิก
  • ช่วยในการลดน้ำหนัก
  • ช่วยเพิ่มฟังก์ชัน Mitochondrial

 

ควรดื่มน้ำไฮโดรเจนวันละเท่าไร

แนะนำให้ดื่ม 2-3 ลิตรต่อวัน

การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC)

รังสียูวีซีเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่น 100-280 นาโนเมตร รังสียูวีซีมีความสามารถในการทำลายเชื้อโรคหรือเรียกว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation ซึ่งทำลายเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย ไวรัส ราเส้นใย ยีสต์ เป็นต้น โดยจะทำลายโครงสร้างกรดนิวคลีอิกซึ่งเป็นองค์ประกอบของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอของเชื้อโรคที่ความยาวคลื่น 260-265 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความยาวคลื่นที่ดีเอ็นเอของดูดซับได้ดีที่สุด

ในธรรมชาติจะไม่พบรังสียูวีซีเนื่องจากรังสีชนิดนี้ไม่สามารถผ่านชั้นโอโซนมายังผิวโลกได้ การใช้รังสีชนิดนี้เพื่อทำลายเชื้อจึงต้องใช้แหล่งกำเนิดรังสี ได้แก่ UVC-LEDs หลอดปรอท เป็นต้น

ประสิทธิภาพการทำลายเชื้อของ UVC

ประสิทธิภาพของรังสียูวีซีในการทำลายเชื้อขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับ ความเข้มและความยาวคลื่นของรังสี สำหรับการฆ่าเชื้อในอากาศหรือพื้นผิวสามารถประเมินประสิทธิภาพจากปริมาณรังสีหรือ UV dose ซึ่งเป็นปริมาณรังสีที่เชื้อสัมผัส ถ้าเชื้อจุลินทรีย์ล่องลอยอยู่ในอากาศผลของรังสีจะเทียบเท่าค่า UV dose แต่ถ้ามีฝุ่นละอองล่องลอยในอากาศร่วมด้วย ปริมาณรังสีที่สัมผัสกับเชื้อจุลินทรีย์อาจลดลง จึงต้องใช้ระยะเวลาในการทำลายเชื้อนานขึ้น

การใช้ยูวีซีในการฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในน้ำ

สามารถใช้ยูวีซีในการฆ่าเชื้อที่ปะปนอยู่ในน้ำได้โดยอาศัยการหมุนวนของน้ำผ่านหลอดกำเนิดรังสียูวีซีภายในระยะเวลาช่วงหนึ่งเพื่อให้รังสีทำลายเชื้อโรคได้หมด นอกจากนี้รังวียูวีซียังสามารถกำจัดคลอรีนหรือสารกลุ่มคลอรามีนที่ปะปนอยู่ในน้ำได้ด้วย อย่างไรก็ตามยูวีซีไม่สามารถกำจัดสารอินทรีย์ และอนินทรีย์หรืออนุภาคต่างๆ ที่ปะปนในน้ำได้

บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน

การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC) ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(UV sterilization of containers
จาก https://patents.google.com/patent/WO2011153288A1/en (เข้าถึงเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563))

 

เครื่องกรองน้ำไฮโดรเจน พร้อมระบบ UVC ดีอย่างไร

มีทั้งไฮโดรเจนที่ทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และ UVC ที่มีความสามารถในการทำลายเชื้อโรค

วิธีการเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำดื่มไฮโดรเจน

  1. พิจารณาจากจำนวนคนที่ดื่มน้ำเพื่อที่จะรู้ถึงขนาดของเครื่องกรองน้ำที่จะใช้ว่ารุ่นใหญ่หรือเล็ก แต่โดยปกติแล้วถ้าใช้ในครอบครัวไม่เกิน 5 คน เครื่องกรองน้ำทั่วไปขนาดเล็กก็เพียงพอแล้ว
  2. พิจารณาจากน้ำที่จะนำไปกรองเช่น น้ำประปา หรือน้ำบาดาล ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นในเขตตัวเมืองก็จะเป็นน้ำประปา เพราะน้ำประปามีการกรองมาก่อนแล้วจะทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อย ช่วยทำให้ยืดอายุของไส้กรองนานขึ้น หรือ หากเป็นน้ำบาดาล ควรดูว่ามีความขุ่นหรือใส อาจจะต้องทำการวิเคราะห์สภาพน้ำว่ามีตะกอนมากน้อย ความเป็นกรดหรือด่างหรือไม่ หรือมีหินปูนมากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้เพิ่มสารกรอง หรือไส้กรอง จำพวกเรซิน ลงไป โดยเราก็จะได้เครื่องกรองน้ำที่เหมาะสมกับสภาพน้ำนั้นจริง ๆ
  3. ราคาและระบบในการกรอง ยิ่งความละเอียดสูงก็ยิ่งแพงขึ้นตามลำดับ ราคาถูกที่สุดก็จะเป็นแบบ MF (Macro Filtration) กรองละเอียด 0.1 ไมครอน ต่อมามีการพัฒนาขึ้นมาเป็นระบบ UF (Ultra Filtration) กรองได้ละเอียดที่ 0.01 ไมครอน เป็นระบบที่นิยมมากในปัจจุบัน และ ระบบที่ดีกว่า UF ก็คือ NF (Nano Filtration) ระบบนี้ยิ่งมีความละเอียดมากยิ่งขึ้นไปอีกคือสามารถกรองได้ถึง 0.001 ไมครอน และระบบสุดท้ายซึ่งเป็นระบบที่กรองได้ละเอียดที่สุดสำหรับน้ำดื่มในปัจจุบันก็คือระบบ RO (Reverse Osmosis) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถกรองได้เฉพาะน้ำบริสุทธิ์ 99.99% เทียบเท่าน้ำฝน สามารถกรองได้ละเอียดถึง 0.0001 ไมครอน
    หมายเหตุ : 1 ไมครอน เท่ากับ หนึ่งในล้านส่วนของเมตร (เส้นผมของคนเรามีขนาดประมาณ 100 ไมครอน)
  4. คุณภาพของเครื่องผ่านการรับรองมาตรฐานหรือไม่ ควรผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 ซึ่งเป็นการรับรองในเรื่องของการผลิตทั้งกระบวนการของผลิตภัณฑ์ ทำให้เราสามารถมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพสินค้า และอาจจะได้การรับรองจากสภาคมคุณภาพน้ำดื่มจากสหรัฐอเมริกา Water Quality Association (WQA) และมาตรฐานจากประเทศไทยเช่น Thailand Trusted Mark เป็นต้น
  5. การรับประกันต่าง ๆ เช่น ตัวเครื่อง สามารถเปลี่ยนได้หากพบมีการแตกร้าว
  6. การบริการหลังการขาย ต้องมีทีมผู้เชี่ยวชาญดูแลและให้คำแนะนำตลอดอายุการใช้งาน แม้ว่าการรับประกันสินค้าจะสิ้นสุดลง และมีอะไหล่ , ไส้กรองจำหน่ายในระยะยาว

 

สิ่งที่พิจารณาประกอบการเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำ

  • การติดตั้งง่าย
  • บำรุงรักษาน้อยกว่า ค่าใช้จ่ายถูกกว่า
  • รูปแบบกะทัดรัดและประหยัดพื้นที่
  • ได้น้ำดื่มที่รสชาติดีคงไว้ซึ่งแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • สามารถแสดงคุณภาพน้ำและอายุการใช้งานของไส้กรองอย่างชัดเจน
ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

แนะนำ เครื่องกรองน้ำไฮโดรเจน

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

บทความ สาระประโยชน์อื่นๆ

เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C เทคโนโลยี ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคในอากาศ

เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C เทคโนโลยี ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคในอากาศ

หลอดไฟ UV ฆ่าเชื้อโรค (UV Sterilizing Lamp)

พลังการทำงานผสมผสานกรองคุณภาพที่เหนือชั้นเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดและยับยั้งเชื้อโรค แบคทีเรีย สูงถึง 99.9% UV Light เป็นระบบที่นำรังสีอัลตราไวโอเลตมาใช้ในการกำจัดละฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ อาทิ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือสารอื่น ๆ ในอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

  • การฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด C หรือที่เรียกว่า UVC นั้นไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งโลกได้รู้จักเทคโนโลยีนี้มาแล้ว 128 ปีด้วยกัน
  • สาเหตุที่เทคโนโลยีนี้กำลังเป็นที่พูดถึงในช่วงเวลาที่เกิดการระบาดของโควิด-19 มาจากคุณสมบัติของ UVC มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% จึงมีข้อได้เปรียบกว่าการฆ่าเชื้อโรคแบบอื่นๆ ที่สำคัญคือไม่ทิ้งสารเคมีที่เป็นอันตรายไว้หลังการใช้งาน จึงมีความปลอดภัยแก่ผู้ใช้
  • ในบ้านเราได้เห็นการใช้เครื่องนี้กันมากขึ้น โดยล่าสุดในโรงพยาบาลศิริราชได้นำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วย Hyper Light Disinfection Robot มาใช้ถึง 3 เครื่อง ซึ่งนอกจากใช้ในโรงพยาบาลแล้ว เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำไปทดลองใช้กับการฆ่าเชื้อรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การฆ่าเชื้อบนหน้ากากอนามัย เป็นต้น

 

รู้จัก UVC 

สำหรับ UVC คือรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 100-280 นาโนเมตร เป็นรังสีที่โดยธรรมชาติจะไม่สามารถเดินทางผ่านชั้นโอโซนลงมายังโลกได้ เนื่องจากมีความยาวคลื่นที่สั้นกว่า UVA และ UVB แต่ในขณะเดียวกัน UVC มีพลังงานมากกว่า และมีความสามารถในการทำลาย DNA และ RNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและเชื้อโรคต่างๆ ทำให้แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคชนิดต่างๆ ไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้

ปัจจุบันมีผลการวิจัยมากมาย ทั้งจากสถาบันการศึกษาและโรงพยาบาลที่พิสูจน์ได้ว่า UVC มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% จึงมีข้อได้เปรียบกว่าการฆ่าเชื้อโรคแบบอื่นๆ เช่น การฉีดพ่นสารเคมี การเช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งในแง่ของความสะดวกในการใช้งาน ใช้เวลาทำความสะอาดเพียงไม่กี่นาที สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่ำ และที่สำคัญคือ ไม่ทิ้งสารเคมีที่เป็นอันตรายไว้หลังการใช้งาน จึงมีความปลอดภัยแก่ผู้ใช้

สำหรับนวัตกรรมการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด C (UVC) นั้น ปัจจุบันมีการนำมาติดตั้งและใช้งานหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่ติดตั้งแบบสแตนด์อโลน เช่น Upper Room UVGI เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C เป็นต้น

“สถานการณ์การระบาดเช่นนี้ทำให้ต้องให้ความสำคัญต่อการฆ่าเชื้อในพื้นที่อื่นด้วยมาตรฐานเดียวกับห้องผ่าตัด และต้องทำให้ได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลหลายแห่งสนใจเทคโนโลยีนี้ และได้ประสานมาทางบริษัท เราเชื่อมั่นทั้งประสิทธิภาพการทำงานและความคุ้มค่าของเครื่อง และเราเชื่อว่า ประเทศไทยจะมีการนำเทคโนโลยีฆ่าเชื้อด้วย UVC มาใช้อย่างเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในอนาคต”

รังสี UVC อันตรายต่อคนไหม?

  • อันตรายต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังไหม้และก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
  • อันตรายต่อดวงตา อาจทำให้กระจกตาอักเสบ แสบตาหรือเป็นต้อกระจก
  • อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ หากแสง UVC ที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่า 240 นาโนเมตร เจอออกซิเจนในอากาศจะทำให้เกิดก๊าซโอโซน (O3) ซึ่งเป็นก๊าซพิษออกมา ดังนั้นจึงควรระมัดระวังไม่ให้มีคนหรือสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในห้องปิดดังกล่าว

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า มาตรการในการรักษาความสะอาดและป้องกันการระบาดของเชื้อโรคจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงในโรงพยาบาล และเราอาจจะเห็นการฆ่าเชื้อด้วยการฉายรังสีอัลตราไวโอเลตมากขึ้นในโรงพยาบาล จนกลายเป็น ‘New Normal’ ในอนาคตอย่างแน่นอน

การฆ่าเชื้อโรคด้วย UV-C

หลอดรังสียูวีที่เปล่งรังสีในช่วง 200-313 nm.สามารถทำลายจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ เห็ดและราได้ อีกทั้งยังสามารถทำลายไวรัสทั้งชนิดที่เป็น DNA และ RNA ได้ ซึ่งพลังงานของรังสีนี้จะเข้าไปทำลายถึงระดับ DNA และ RNA ของเชื้อโรค ทำให้เชื้อไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และตายในที่สุด

รังสียูวีทำลายเชื้อโรคได้อย่างไร ทำไม “หลอดไฟ UVC” จึงฆ่าเชื้อโรคได้?

รังสียูวีที่ใช้ในการฉายเพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ เรียกว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation หรือ UVGI มีความยาวคลื่นประมาณ 200 nm ถึง 313 nm (ตามมาตรฐาน CIE, DIN, IESNA) โดยมีประสิทธิภาพการทำลายเชื้อโรคได้ดีที่สุดที่ประมาณ 265 nm (สำหรับจุลินทรีย์ และ DNA VIRUS)

CIE : International Commission on Illumination

DIN : Deutsches Institut for Normung

IESNA : Illuminating Engineering Society of North America

รังสียูวีในช่วง UVGI นี้สามารถทำลาย RNA virus เช่น COVID-19 ได้ โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ความยาวคลื่นประมาณ 260 nm

นอกจากนี้ ยังสามารถทำลาย DNA virus และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ความยาวคลื่นประมาณ 265 nm

*Reference คำแนะนำสำหรับการใช้หลอดยูวีทำลายเชื้อโควิด 19 – สถาบันมาตรวิทยา (UL : Safety Organize)

เครื่องฟอกอากาศ sun pure เครื่องฟอกอากาศ Sun-Pure เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C ฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวีซี

หลายบ้านมองหาเครื่องฟอกอากาศที่จะทำให้อากาศสะอาดมากที่สุด หนึ่งในวิธีการทำงานของเครื่องฟอกอากาศที่สะอาดและบริสุทธิ์ค่อนข้างมาก ก็คือ เครื่องฟอกอากาศระบบ Ultraviolet Light เครื่องฟอกอาการะบบนี้จะทำงานด้วยการปล่อยแสงอัลตราไวโอเลต ออกมาเพื่อกำจัดไวรัส แบคทีเรีย สิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้หมดไป ประสิทธิภาพการทำงานด้านการกำจัดสิ่งสกปรกถือว่ายอดเยี่ยมมากทีเดียว

อีกทั้งแสงช่วงยูวีซีได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย โดยไปทำลายพันธะโมเลกุลในดีเอ็นเอ/อาร์เอ็นเอของไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ทำให้ได้อากาศที่บริสุทธิ์ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา และ เชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของโรคมากมายก่อนส่งออกไปยังห้องของคุณ เครื่องฟอกอากาศระบบยูวีซีจึงเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้คุณมั่นใจว่าจะปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

แนะนำ เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C ช่วยกำจัดเชื้อโรค ไวรัสในอากาศ

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

บทความ สาระประโยชน์อื่นๆ

ฝุ่น pm 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ฝุ่น pm 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก แต่ส่งผลต่อสุขภาพมหาศาล

ฝุ่น pm 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก แต่ส่งผลต่อสุขภาพมหาศาล

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร?

คือฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดอนุภาคเล็กมากๆ (ขนาดเล็กกว่า2.5ไมครอน หรือไมโครเมตร)

(PM ย่อมาจาก Particulate Matters)

ด้วยขนาดที่เล็กมากๆ เราจึงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าฝุ่นนี้มีปริมาณสูงมากๆ ในอากาศ จะดูคล้ายกับมีหมอกหรือควัน

สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้จากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ การเผาขยะ เผาหญ้า เผาเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงงาน เป็นต้น

ฝุ่น PM 2.5นี้ยังสามารถรวมตัวกับสารมลพิษ เช่นสารไฮโดรคาร์บอน และโลหะหนัก

และด้วยขนาดที่เล็กมากจึงสามารถลอดผ่านการกรองของขนจมูก ไปยังหลอดลม และลงลึกจนถึงถุงลมปอดและซึมเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย

 

ฝุ่น PM 2.5 มีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

ในวันที่อากาศไม่ดี มีค่าฝุ่นมลพิษสูง หลายคนคงรู้สึกแสบตา แสบจมูก เจ็บคอ

  • ระบบที่มีผลกระทบมาก คือระบบทางเดินหายใจ เมื่อหายใจเอาฝุ่น PM2.5เข้าไป จะรู้สึกแสบจมูก ไม่สบาย ไอและมีเสมหะได้ ในคนไข้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคภูมิแพ้,โรคปอด (เช่น หอบหืด, ถุงลมโป่งพอง) ต้องระวังสุขภาพเป็นพิเศษ เนื่องจากฝุ่นนี้จะทำให้โรคกำเริบได้ง่าย
  • ในระยะยาวมีผลทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดและ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือดได้

 

PM 2.5 ฝุ่นเล็กจิ๋ว แต่ส่งผลต่อสุขภาพมหาศาล

  • ฝุ่นละออง PM2.5 สามารถถูกสูดเข้าลึกถึงทางเดินหายใจและปอด ก่อให้เกิดการระคายเคือง แสบจมูก ไอ จาม มีเสมหะ หอบหืด หัวใจวายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองตีบ และที่อันตรายที่สุดอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งปอด
  • ควรงดออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงที่มีภาวะหมอกควันและฝุ่นสูง เนื่องจากการใช้แรงมากหรือการหายใจแรง อาจยิ่งเพิ่มการสูดเอาละอองฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ทางเดินหายใจและปอดมากขึ้น
  • การสวมหน้ากาก N95 ต้องทำอย่างถูกวิธี หมั่นกระชับหน้ากากไม่ให้หลวม และไม่ควรนำหน้ากากใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่หากมีฝุ่นละอองหนาเกินไป

องค์กรอนามัยโลก (WHO)  ตั้งค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศ ว่าหากมีเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะที่ประเทศไทยกำหนดอันตรายของฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่  50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

แต่ไม่ว่าจะถือมาตรฐานใด ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติด้วยปริมาณเกือบ 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะบริเวณริมถนนหรือบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นและรอบสถานที่ก่อสร้าง

ภัยร้ายต่อทางเดินหายใจและปอด 

แน่นอนว่ามลพิษในอากาศส่งผลโดยตรงกับระบบทางเดินหายใจและปอด ยิ่งเมื่อฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า  ยิ่งสามารถผ่านเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบ หรือเป็นสาเหตุให้คนปกติเป็นหอบหืดได้เช่นกัน หากไม่รีบแก้ไข หรือไม่รู้ตัวว่าได้สูดเอามลพิษขนาดเล็กเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและปอดจนสะสมเป็นเวลานาน อาจเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งปอดได้ในที่สุด
ภัยร้ายต่อหัวใจ

การสูดหายใจเอาฝุ่นละอองพิษเล็กจิ๋วติดต่อกันระยะหนึ่ง ส่งผลให้เกิดการตะกอนภายในหลอดเลือด จนทำให้เกิดหัวใจวาย หรือหลอดเลือดสมองตีบได้ ทั้งนี้การสัมผัสมลพิษทางอากาศยังมีผลต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เต้นผิดจังหวะ และอาจรุนแรงจนส่งผลให้หัวใจวายเฉียบพลัน
ภัยร้ายต่อสมอง

เมื่อฝุ่นผงขนาดเล็กสามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือดและเกิดการสะสมขึ้น  ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง และเลือดมีความหนืด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดลิ่มเลือดในสมอง รวมถึงหลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว  ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ หรือแตก เป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์อัมพาตและเสียชีวิตได้

PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอดได้หรือไม่

จากวิกฤตมลพิษในอากาศที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก ทั้งในเมือง นอกเมือง พื้นที่อุตสาหกรรม และพื้นที่อื่น ๆ WHO ได้แถลงว่าการที่ร่างกายเปิดรับ PM2.5 หรืออนุภาคฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 นอกจากมีโอกาสซึมเข้ากระแสเลือดไปกระทบการทำงานของร่างกายแล้ว หากได้รับ PM2.5 สะสมเป็นเวลานานก็มีส่วนทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ โดยข้อมูลจากวารสารการแพทย์ Oncology Letter – PMC5920433 ได้ระบุว่า PM2.5 มีผลทำให้เซลล์ในร่างกายอาจกลายพันธุ์หรือแบ่งตัวผิดปกติ และสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการเกิดมะเร็ง

PM 2.5 จึงไม่ได้เสี่ยงเพียงมะเร็งปอด แต่ยังอันตรายต่อทุกอวัยวะที่กระแสเลือดเดินทางไปได้ อาจเกิดเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคสมองเสื่อม โรคหลอดเลือดสมองตีบ ในคนที่เป็นไมเกรนทำให้มีอาการปวดหัวรุนแรงขึ้นได้

5 วิธีต่อไปนี้ คือวิธีรับมือฝุ่นพิษที่ควรทำและบอกต่อไปยังคนใกล้ชิด

  • สวมหน้ากากอนามัย N95 ทุกครั้งที่อยู่กลางแจ้ง
  • เลี่ยงฝุ่น PM 2.5 การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมนอกอาคารถ้าไม่จำเป็น
  • หยุดทำกิจกรรมกลางแจ้งถ้าจำเป็นควรลดเวลาให้สั้นที่สุดและสวมหน้ากาก
  • ป้องกันโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจเช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ
  • เฝ้าระวังสุขภาพ หากมีอาการผิดปกติเช่น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก รีบพบแพทย์ทันที
  • ติดตามข่าวสารฝุ่น PM 2.5 อย่างใกล้ชิด
  • สู้ฝุ่น PM 2.5 ด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ไอเท็มกันฝุ่น PM2.5  เมื่ออยู่นอกบ้าน

  1. ผ้าปิดจมูก
  2. หน้ากากกันฝุ่น
  3. หน้ากากกันสารเคมี
  4. หน้ากาก 3D Easy Mask
  5. หน้ากาก DIY (หน้ากากอนามัย + กระดาษทิชชู่)

 

เครื่องฟอกอากาศ รุ่น 141 ฟิวเตอร์ใหม่2

เครื่องฟอกอากาศกรองฝุ่น PM 2.5

การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier หรือ Air Cleaner) จึงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นไม่พึงประสงค์ แบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงฝุ่นละออง PM2.5 ได้ และ สำหรับใครที่มีเครื่องฟอกอากาศอยู่แล้วก็ควรหมั่นตรวจสอบการใช้งานและบำรุงดูแลรักษาเครื่องอยู่เสมอ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

แนะนำ เครื่องฟอกอากาศ ตัวช่วยในการรับมือกับ ฝุ่น Pm2.5

ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

บทความ สาระประโยชน์อื่นๆ

ประโยชน์ เครื่องผลิตออกซิเจน

ประโยชน์และการเลือกใช้ เครื่องผลิตออกซิเจน Oxygen Concentrator

ประโยชน์และการเลือกใช้ เครื่องผลิตออกซิเจน Oxygen Concentrator

เครื่องผลิตออกซิเจน (Oxygen Concentrator)  เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อผลิตออกซิเจนในความเข้มข้นสูง สำหรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยทางระบบทางเดินหายใจ ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ หรือผู้ที่ต้องการออกซิเจน เนื่องจากมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ประหยัดกว่า และสะดวกมากขึ้นกว่าการใช้ถังออกซิเจน ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อการแพทย์เป็นอย่างมาก

เครื่องผลิตออกซิเจน เหมาะกับใครบ้าง

  1. ผู้สูงอายุที่ต้องการออกซิเจน
  2. ผู้ที่ต้องการออกซิเจน (ออกซิเจนในเลือดต่ำ)
  3. ผู้ป่วยกักตัวที่บ้าน
  4. ผู้ที่มีปัญหาทางเดินหายใจ
  5. ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

ประโยชน์ของออกซิเจน ที่คุณอาจไม่เคยทราบ

1. บรรเทาอาการโรคทางเดินหายใจ สำหรับใครที่มักมีปัญหานอนกรน หายใจไม่ออก เป็นหวัดบ่อย และมักจะแพ้อากาศ สามารถใช้เครื่องนี้เพื่อช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้และยังช่วยทำให้คุณนอนหลับสนิทมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

2. ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของร่างกาย รู้หรือไม่ว่าออกซิเจนมีส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเด็กๆที่มีส่วนช่วยการพัฒนาการทั้งร่างกายและพัฒนาสมองได้ ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และไม่ป่วยเป็นโรคง่าย

3. ช่วยลดอาการเหนื่อยล้า หลังจากทำงานมาใครที่รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้า ลองใช้เครื่องผลิตออกซิเจนนี้เพื่อเติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย จะช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดต่างๆดี ลดความอ่อนล้าของร่างกาย ลดความเครียด ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้อีกด้วย

4. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด สำหรับท่านที่สูบบุหรี่เป็นประจำ แน่นอนว่าสุขภาพของปอดและการหายใจของคุณกำลังแย่ เนื่องจากสารนิโคตินและคาร์บอนมอนอกไซด์จากการสูบบุหรี่นั้นจะเข้าสู่ร่างกายเป็นอย่างมาก เครื่องนี้จะช่วยทำให้คุณได้รับออกซิเจนมากยิ่งขึ้น

เครื่องผลิตออกซิเจน 5 ลิตร Oxygen Concentrator

การเลือกใช้งานเครื่องผลิตออกซิเจน

  1. ประสิทธิภาพในการผลิตออกซิเจน
  • ผลิตออกซิเจนบริสุทธิ์ได้มากกว่า 90% (+3%) ที่ระดับการจ่ายออกซิเจนสูงสุด
  • มีตัวตรวจสอบออกซิเจน (Oxygen Monitor) และต้องให้สัญญาณเตือนเมื่อความเข้มข้นของออกซิเจนไม่ได้มาตรฐาน
  1.  ประสิทธิภาพในการใช้งาน
  • ต้องเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา
  • อัตรากินไฟต่ำ
  1.  การดูแลรักษาสะดวก-ไม่ยุ่งยาก
  2. ราคาเครื่องผลิตออกซิเจน ค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษา การรับประกันและการบริการหลังการขายที่สมเหตุสมผล
ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

แนะนำ เครื่องผลิตออกซิเจน

เครื่องผลิตออกซิเจน 5 ลิตร Oxygen Concentrator
เครื่องผลิตออกซิเจน 10 ลิตร Oxygen Concentrator
เครื่องผลิตออกซิเจน 10 ลิตร Oxygen Concentrator
ประจุลบ เครื่องฟอกอากาศ LiCC เครื่องฟอกอากาศระบบ UV-C

บทความ สาระประโยชน์อื่นๆ